ย้อนอดีต "ปิดถนนเขาใหญ่ปล้น"
ย้อนอดีต "ปิดถนนเขาใหญ่ปล้น"
.
ยามเช้าของวันที่ 22 พฤศจิกายน 2529 เวลา 09.00 น. เริ่มต้นฤดูหนาวเขาใหญ่ นักท่องเที่ยวหลายร้อยชีวิตทยอยเดินทางขึ้นไปพักผ่อนบนเขาใหญ่ มองเห็นรถวิ่งตามกันเป็นขบวนยาวเหยียด โดยเฉพาะช่วงขึ้นเขารถติดดูเหมือนงูกินหางทอดยาวไปตามความคดโค้งของถนน ใกล้ถึงหลักกิโลเมตร 27-28 ต.นาหินลาด อ.ปากพลี จ.นครนายก
.
โชเฟอร์คันหน้าสุดต้องตกใจเหยียบเบรกตัวโก่ง เมื่อมีท่อนไม้ขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางราว 50 ซม.วางขวางถนนอยู่ โดยมีชายฉกรรจ์ 6-7 คนกรูออกจากป่าสองข้างทางพร้อมอาวุธครบมือ ประกาศเสียงดังลั่น "หยุด! ทุกคนเดินลงมาจากรถ เอาสิ่งของมีค่าลงมาให้หมด แล้วหมอบลงกับพื้น เอากระเป๋าของมีค่าวางไว้บนพื้น อย่าคิดหนีหรือขัดขืน ถ้าไม่อยากตาย"
.
โจรทั้งหมดกระจายกันปิดล้อมรถที่เริ่มติดกันเป็นแถวยาวร่วม 32 คัน เสียงขู่บังคับสลับกับก่นด่าเจ้าหน้าที่รัฐมีทั้งด่าป่าไม้ ด่าตำรวจ และข้าราชการท้องถิ่น จับใจความได้ว่าเบียดเบียนกดดันจนไม่มีอาชีพทำกิน เลยต้องปล้น
.
กลุ่มคนร้ายรวบรวมสิ่งของมีค่าจากนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน 110 คน ได้ทรัพย์สินมูลค่าราวๆ 3 แสนบาทใส่กระสอบปุ๋ยแล้วฉากหนีเข้าป่าหายไปกับความรกชัฏ
.
เช้าวันรุ่งขึ้นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ นำเสนอข่าวการปล้นอุกอาจในครั้งนี้อย่างครึกโครม เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์ปล้นลักษณะนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางการสืบสวนติดตามหาเบาะแสคนร้ายอยู่นาน 7 เดือน จนหลายคนคิดว่าคงหาผู้กระทำผิดมารับโทษไม่ได้ และอีกหลายคนที่เริ่มจะลืมเลือนการปล้นในครั้งนี้
.
กระทั่งวันที่ 7 มิถุนายน 2530 สายลับได้นำกล้องถ่ายรูป SLR ซึ่งเป็นกล้องถ่ายรูปของช่างภาพมืออาชีพในสภาพถูกเผาแทบไม่เหลือซากมามอบให้แก่ พ.ต.ต.ปราโมทย์ พานิชตระกูล สวส.สน.พลับพลาไชย 2 เนื่องจากเห็นไม่ชอบมาพากลและสังหรณ์ใจว่า จะเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปจากเขาใหญ่เมื่อปลายปี2529
.
การสืบค้นคดีเก่าๆ เริ่มขึ้นอีกครั้งเปรียบเทียบกับพฤติกรรมปิดเขาใหญ่ปล้น กระทั่งพบสิ่งเชื่อมโยงกับคดีปล้นบ้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้ใน อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี คือ อาวุธปืนและคำด่าทอเจ้าหน้าที่รัฐ
.
สารวัตรมือปราบเดินทางไป อ.นาดี แต่โชคไม่เข้าข้าง เพราะเจ้าหน้าที่คนที่ว่าย้ายไปอยู่ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี จึงต้องตามไปอีกที่จนได้พบตัว ข้อมูลที่ได้ทั้งพฤติกรรมและการด่าทอตรงกันกับเหตุปิดถนนปล้นที่เขาใหญ่ จึงโทรศัพท์ไปให้ลูกน้องส่งทะเบียนราษฎร์ผู้ต้องสงสัยมาให้ที่นครนายก
.
"ผมถามว่าจำหน้าคนร้ายได้ไหม เขาบอกว่าเห็นอีกทีคงจำได้ ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ ผมต้องขับรถไปหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ ให้ลูกน้องตรวจสอบทะเบียนราษฎร์ผู้ต้องสงสัยทั้งหมด แล้วส่งมาให้ที่ จ.นครนายก" พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเล่ามาถึงจุดนี้
.
รูปถ่ายผู้ต้องทั้ง 7 คนวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าสารวัตรกฤษฎาและเจ้าหน้าที่ป่าไม้เหยื่อปล้นครั้งก่อน และได้รับคำยืนยันว่า "บุญรอด คำเที่ยงป้อง" อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 7 ต.สามพันตา อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
.
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยเป็นคนก่อเหตุปล้นบ้านเขา ชุดสืบสวนจึงไปเชิญตัวมาสอบปากคำและเข้าค้นบ้านพัก พบเหรียญทองคำรัชกาลที่ 3 ซึ่งเจ้าทุกข์รายหนึ่งแจ้งว่าถูกปล้นไปเมื่อครั้งปิดเขาใหญ่ปล้น วันที่ 14 มิถุนายน 2530 ตำรวจออกหมายจับบุญรอดเป็นรายแรก จากนั้นคำรับสารภาพก็พรั่งพรูออกมา
.
เล่าช่วงวันเกิดเหตุปิดเขาใหญ่ปล้น บุญรอดกับน้องชายและเพื่อนบ้านรวม 5 คน ออกตระเวนหาของป่าและไม้หอมบนเขาใหญ่อยู่นาน 10 วัน 10 คืน แต่ไม่ได้อะไรติดมือเลย ระหว่างนั่งพักอยู่ริมถนนเลยชักชวนสมัครพรรคพวกปล้นรถที่วิ่งขึ้น-ลงเขาใหญ่ โดยลงมือตัดต้นไม้ขวางถนนแล้วลงมือปล้นรถคันแรก แต่ที่ขยายไปเป็นการปล้นรถมากถึง 32 คัน
.
สาเหตุเพราะเมื่อรถตู้คันแรกหยุด รถคันอื่นๆ ที่วิ่งตามมาก็หยุดตาม จนจอดติดกันยาวเป็นขบวน พวกเขาเลยตัดสินใจปล้นทั้งหมด จากนั้นก็หนีไปตามร่องน้ำป่าทึบ เดินเท้าอยู่ 4 วันเป็นระยะทางราวๆ 50 กิโลเมตรก็ถึงบ้าน แล้วนำทรัพย์สินที่ได้มาแบ่งกัน ส่วนปืนที่ใช้ปล้นเป็นของ ผกค.เดิมที่ฝังดินไว้
.
เมื่อได้ข้อมูล ตำรวจจึงออกหมายจับ บุญส่ง คำเที่ยงป้อง อายุ 25 ปี , วิรัตน์ บัวมาก อายุ 21 ปี , คำปน กลิ่นพยับ อายุ 25 ปี และ สำราญ บัวแก้ว อายุ 18 ปี กระจายกำลังติดตามจับกุมได้ทีละคนๆ ต่อมามีเจ้าทุกข์ 51 คนทยอยมาชี้ตัว
.
เวลาไล่เลี่ยกันตำรวจทยอยตรวจยึดอาวุธปืนได้อีกหลายกระบอก ได้แก่ อาก้า 2 กระบอก เซกาเซ่ 2 กระบอก เอ็ม 16 และกระสุนปืนชนิดต่างๆ 450 นัด ระเบิดมือ ฯลฯ ส่วนของกลางที่เหลือมีเพียงเหรียญทองคำรัชกาลที่ 3 แหวนนาก วิทยุเทป 2 เครื่อง นาฬิกาข้อมือ 10 เรือน สมุดบัญชีเงินฝากและทะเบียนรถจักรยานยนต์จำนวนหนึ่งเท่านั้น
.
19 มิถุนายน 2530 พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ศาลจังหวัดนครนายกใช้เวลาพิจารณาเพียง 5 วันก็ตัดสินพิพากษาจำคุกคนละ 30 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 15 ปี
.